· ดัชนีดอลลาร์ทรงตัวที่บริเวณ 93.931 จุด เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักส่วนใหญ่ ท่ามกลางเหล่านักลงทุนที่เฝ้ารอผลการประชุมเฟดที่จะประกาศในคืนวันพุธ ซึ่งเป็นที่คาดการณ์อย่างทั่วถึงว่า เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน
สำหรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2018 ผลสำรวจจาก Reuters แสดงให้เห็นว่า บรรดานักวิเคราะห์ประเมินโอกาสไว้ที่จำนวน 3 ครั้ง เทียบกับ 2 ครั้งจากผลสำรวจเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้านค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับเงินเยน ปรับอ่อนค่าลง 0.1% ที่บริเวณ 113.48 เยน/ดอลลาร์ หลังจากที่ปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่บริเวณ 113.69 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือน
ขณะที่ค่าเงินยูโรปรับอ่อนค่าลงบริเวณ 1.1771 ยูโร/ดอลลาร์ หลังจากขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 1.1811 ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวานนี้
· ราคา Bitcoin ปรับตัวลดลงมา 0.5% บริเวณ 16,390 เหรียญ หลังจากขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่บริเวณ 17,270 เหรียญเมื่อคืนที่ผ่านมา ท่ามกลางสภาวะตลาดที่มีความผันผวนอย่างมาก หลังจากที่เริ่มการซื้อขายสัญญา Bitcoin เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
· นางซูซาน โคลลินส์ ส.ว.พรรครีพับลิกัน ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยเธอระบุว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจจะสนับสนุนร่างนโยบายปฏิรูปภาษีฉบับสุดท้ายที่บรรดา ส.ส. และ ส.ว. จะผนวกร่างนโยบายเข้าด้วยกันหรือไม่แต่อย่างใด ทั้งนี้ เสียงสนับสนุนของเธอถือเป็นอีก 1 เสียงที่สำคัญ เพื่อร่างนโยบายจะสามารถผ่านการลงมติในสภาสูงไปได้
· กระทรวงการคลังแห่งสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ได้เปิดเผยรายงานผลการวิเคราะห์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯภายใต้แรงสนับสนุนจากนโยบายปฏิรูปภาษี โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถเติบโตได้ถึง 2.9% ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้เกิดเสียงต่อต้านจากพรรคเดโมแครตและบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่โกหกขึ้นมา
· บีโอเจ ระบุว่า ยอดขายส่งของญี่ปุ่นประจำเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 3.5% นับเป็นการขยายตัวเร็วที่สุดในรอบ 9 ปี ซึ่งส่งสัญญาณถึงการปรับตัวสูงขึ้นของต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลก จึงทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าความยืดหยุ่นในค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะหนุนกลุ่มบริษัทให้เพิ่มมูลค่าสินค้าได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่ประกาศในวันนี้ อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคอาจจะมุ่งสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางได้
· รายงานจาก Reuters ระบุว่า นางเทเรซ่า เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีความเชื่อมั่นต่อโอกาสประสบความสำเร็จของการเจรจาด้านการค้าระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปหลังจาก Brexit มากขึ้น โดยนางเมย์ได้กล่าวยืนยันกับทางรัฐสภาในวันนี้ว่า อังกฤษจะสามารถข้อตกลงร่วมกันสหภาพยุโรปได้อย่างแน่นอน
· ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) จะเริ่มต้นการประชุมประจำเดือนธันวาคมในคืนนี้ ก่อนที่จะประกาศผลและจัดแถลงการณ์ในคืนวันพุธ ซึ่งเป็นที่คาดการณ์กันโดยทั่วไปว่า เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% แต่สิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญที่สุด คือทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตของเฟด ภายใต้นโยบายปฏิรูปภาษีจากรัฐบาลสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะคงคาดการณ์จังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3 ครั้งในปี 2018 ตามเดิม แต่ก็มีโอกาสที่เจ้าหน้าที่เฟดจะพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดจากนโยบายปฏิรูปภาษี ที่จะไปกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ และส่งผลให้เฟดมีมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley คาดการณ์ว่า เฟดจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆ เนื่องจากบรรดาคณะกรรมการกำลังเตรียมตัวสำหรับการส่งมอบอำนาจของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน ให้กับนายเจอโรม โพเวล ว่าที่ประธานเฟดคนต่อไปที่จะมีผลในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ ยังคาดว่าถ้อยแถลงหลังการประชุมของนางเยเลน อาจมีการยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะสามารถขยายตัวได้เร็วขึ้นภายใต้นโยนบายปฏิรูปภาษี แต่จะยังไม่มีอะไรที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด
· ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 1.5% สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางปี 2015 หลังท่อส่งน้ำมัน Forties ในทะเลเหนือจะปิดทำการเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ส่งให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงไปอย่างมากอย่างมาก ประกอบกับแรงหนุนมาตรการปรับลดกำลังการผลิตจากกลุ่มโอเปก
โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้น 1.5% บริเวณ 65.63 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางปี 2015 ที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ยืนเหนือระดับ 65 เหรียญ
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 0.7% บริเวณ 58.41 เหรียญ/บาร์เรล